ข้าวบาร์เลย์ เป็นธัญพืชชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในตระกูลหญ้า มีลักษณะคล้ายๆลูกเดือยแต่ขนาดเล็กและเรียวกว่า มีประโยชน์มากทั้งแก่มนุษย์และสัตว์ ทั้งยังสามารถแปรรูปทำเป็นแป้งและเบียร์ได้ด้วย เป็นพืชที่สามารถสะสมอะลูมิเนียมได้ 1,000 mg/kg นิยมนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำเครื่องดื่ม และขนมต่าง ๆ มากมาย เช่น นำมาใส่ในน้ำเต้าหู้ ใช้หุงแทนข้าวสวย หรือนำมาต้มเป็นน้ำข้าวบาร์เลย์ก็ได้
ข้าวบาร์เลย์อุดมไปด้วยสารโภชนาการที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เส้นใยอาหาร โปรตีน คาร์โบไฮเดรต เบต้ากลูแคน เพนโทแซนส์ เซลลูโลส กรดอะมิโนจำเป็น วิตามินบี ธาตุเหล็ก สังกะสี ทองแดง แมกนีเซียม ซิลิเนียม โครเมียม สารชีวภาพโทโคไตรอีนอล ลิกแนน ไฟโตอีสโตรเจน ฟีนอล กรดไฟติก เป็นต้น นอกจากนี้ ข้าวบาร์เลย์ยังเป็นแหล่งของน้ำตาลมอลโทสซึ่งเป็นสารให้ความหวานตามธรรมชาติ จึงมีการนำข้าวบาร์เลย์ไปบริโภคในหลากหลายรูปแบบ เช่น ซีเรียล แป้งจากข้าวบาร์เลย์ น้ำข้าวบาร์เลย์ หรือเบียร์จากข้าวบาร์เลย์ เป็นต้น
ประโยชน์ของข้าวบาร์เลย์
1. ควบคุมน้ำตาลในเลือด
2. ลดความเสี่ยงของการเกิดหัวใจล้มเหลว
3. ช่วยลดน้ำหนัก
4. ป้องกันมะเร็ง
5. ลดอาการข้ออักเสบ
6. ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
7. ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
8. ป้องกันโรคโลหิตจาง
9. ชะลอความชรา
10. ป้องกันนิ่ว
ข้อควรรู้ก่อนทานข้าวบาร์เลย์
การรับประทานข้าวบาร์เลย์ในปริมาณที่พอเหมาะนั้นค่อนข้างปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ข้าวบาร์เลย์เป็นธัญพืชที่ประกอบด้วยกลูเตน จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเซลิแอค (Celiac Disease) หรือโรคแพ้กลูเตน เพราะจะทำให้อาการของโรคกำเริบ
นอกจากนั้น บุคคลในกลุ่มต่อไปนี้ ควรระมัดระวังในการรับประทานข้าวบาร์เลย์เป็นพิเศษ
· ผู้ที่แพ้ธัญพืช จำพวกข้าว ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด หรือข้าวไรย์ อาจเกิดอาการแพ้ข้าวบาร์เลย์ได้เช่นกัน จึงควรระมัดระวังหรือปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานข้าวบาร์เลย์
· ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ การรับประทานข้าวบาร์เลย์เป็นอาหารในปริมาณที่พอเหมาะนั้นค่อนข้างปลอดภัย แต่หากรับประทานต้นอ่อนของข้าวบาร์เลย์ในปริมาณมากอาจไม่ปลอดภัยต่อผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
· ผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานข้าวบาร์เลย์ เพราะยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยเพียงพอหากรับประทานข้าวบาร์เลย์ในช่วงที่ให้นมบุตร
· ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องใช้ยาลดระดับน้ำตาลในเลือด เช่น อินซูลิน ไกลพิไซด์ ไกลเบนคาไมด์ ไพโอกลิตาโซน เป็นต้น ควรระมัดระวังในการรับประทานข้าวบาร์เลย์ เนื่องจากข้าวบาร์เลย์อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงมากเกินไป ดังนั้น ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานข้าวบาร์เลย์ เพราะอาจต้องปรับปริมาณยาและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ
· ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรหยุดรับประทานข้าวบาร์เลย์อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด เพราะข้าวบาร์เลย์อาจรบกวนการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดทั้งในระหว่างและหลังการผ่าตัด
· ผู้ที่กำลังใช้ยารักษาโรค ควรเว้นระยะอย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลังการรับประทานยาก่อนรับประทานข้าวบาร์เลย์ เนื่องจากเส้นใยอาหารจากข้าวบาร์เลย์อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพของยาลดลง
....................................................................................................................................